วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติดนตรีไทย

                                                         
                                                        ประวัติดนตรีไทย
ทัศนะ ที่ 1 สันนิษฐานว่า ดนตรีไทย ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เนื่องจาก อินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ ที่สำคั ญแห่งหนึ่งของโลก อารยธรรมต่าง ๆ ของอินเดียได้เข้ามามีอิทธิพล ต่อประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียอย่างมาก ทั้งในด้าน ศาสนา ประเพณีความเชื่อ ตลอดจน ศิลป แขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านดนตรี ปรากฎรูปร่างลักษณะ เครื่องดนตรี ข องประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย เช่น จีน เขมร พม่า อินโดนิเซีย และ มาเลเซีย มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน เป็นส่วนมาก ทั้งนี้เนื่องมาจาก ประเทศเหล่านั้นต่างก็ยึดแบบฉบับ ดนตรี ของอินเดีย เป็นบรรทัดฐาน รวมทั้งไทยเราด้วย เหตุผ ลสำคัญที่ท่านผู้รู้ได้เสนอทัศนะนี้ก็คือ ลักษณะของ เครื่องดนตรีไทย สามารถจำแนกเป็น 4 ประเภท คือ
เครื่องดีด
เครื่องสี
เครื่องตี
เครื่องเป่า
การสันนิษฐานเกี่ยวกับ กำเนิดหรือที่มาของ ดนตรีไ ทย ตามแนวทัศนะข้อนี้ เป็นทัศนะที่มีมาแต่เดิม นับตั้งแต่ ได้มีผู้สนใจ และ ได้ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เก ี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้น และนับว่า เป็นทัศนะที่ได้รับการนำมากล่าวอ้างกันมาก บุคคลสำคัญที่เป็นผู้เสนอแนะแนว ทางนี้คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งวงการประวัติศาสตร์ของไทย
ทัศนะคติที่ 2 สันนิษฐานว่า ดนตรีไทย เกิดจากค วามคิด และ สติปัญญา ของคนไทย เกิดขึ้นมาพร้อมกับคนไทย ตั้งแต่ สมัยที่ยังอยู่ทางตอนใต้ ของประเทศจีนแล้ว ทั้ งนี้เนื่องจาก ดนตรี เป็นมรดกของมนุษยชาติ ทุกชาติทุกภาษาต่างก็มี ดนตรี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของตนด้วยกันทั้งนั้น ถ ึงแม้ว่าในภายหลัง จะมีการรับเอาแบบอย่าง ดนตรี ของต่างชาติเข้ามาก็ตาม แต่ก็เป็น การนำเข้ามาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม กับ ลักษณะและนิสัยทางดนตรี ของคนในชาตินั้น ๆ ไทยเรา ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ทาง ตอนใต้ของประเทศจีน ก็คงจะมี ดนตรี ของเราเองเกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ จะสังเกตุเห็นได้ว่า เครื่องดนตรี ดั้งเดิมขอ งไทย จะมีชื่อเรียกเป็นคำโดด ซึ่งเป็นลักษณะของคำไทยแท้ เช่น
เกราะ, โกร่ง, กรับ
ฉาบ, ฉิ่ง
ปี่, ขลุ่ย
ฆ้อง, กลอง .. เป็นต้น
ต่อมาเมื่อไทยได้ อพยพ ลงมาตั้งถิ่นฐานในแถบแหลมอินโดจีน จึงได้มาพบวัฒนธรรมแบบอินเดีย โดยเฉพาะ เครื่องดนตรี อินเดีย ซึ่งชนชาติมอญ และ เขมร รับไว้ก่อนที่ไทยจะอพยพเข้ามา ด้วยเหตุนี้ ชนชาติไทย ซึ่งมีนิสัยทางด นตรีอยู่แล้ว จึงรับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีแบบอินเดีย ผสมกับแบบมอญและเขมร เข้ามาผสมกับดนตรีที่มีมาแต่เด ิมของตน จึงเกิดเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีก ได้แก่
พิณ
สังข์
ปี่ไฉน
บัณเฑาะว์
กระจับปี่ และจะเข้ เป็นต้น
ต่อมาเมื่อไทยได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ ในแหลมอินโดจีนอย่างมั่นคงแล้ว ได้มีการ ติดต่อสัมพันธ์ กับประเทศเพื่อนบ้านในแหลมอินโดจีน หรือแม้แต่กับประเทศทางตะวันตกบางประเทศที่เข้ามา ติดต่อค้าขาย ทำให้ไทยรับเอาเครื่อ งดนตรีบางอย่าง ของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ เล่นใน วงดนตรีไทย ด้วย เช่น กลองแขก ปี่ชวา ของชวา (อินโดนิเซีย) กลองมลายู ของมลายู (มาเลเซีย) เปิงมาง ตะโพนมอญ ปี่มอญ และฆ้องมอญ ของมอญ กลองยาวของพม่า ขิม ม้าล่อของจีน กลอง มริกัน (กลองของชาวอเมริกัน) เปียโน ออร์แกน และ ไวโอลีน ของประเทศทางตะวันตก เป็นต้น
วิวัฒนาการของวงดนตรีไทย
นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐ านในแหลมอินโดจีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็นการเริ่มต้น ยุคแห่งประวัติศาสตร์ไทย ที่ปรากฎ หลั กฐานเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ เมื่อไทยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และหลังจากที่ พ่อขุนรามคำแหง มหาราช ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งในหลักศิลาจารึก หนังสือวรรณคดี และเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุค ซึ่งสามารถนำมาเป็นหลักฐ านในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา จนกระทั่งเป็นแบบแผนด ังปรากฎ ในปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
สมัยสุโขทัยดนตรีไทย
มีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีไทย ในสมัยนี้ ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่ แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์ พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปี่ไฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น ลักษณะการผสม วงด นตรี ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง "เสียงพาทย์ เสียงพิณ" ซึ่งจากหลักฐานที่กล่าวนี้ สันนิษฐานว่า วงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้ คือ
1. วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลง 1 คน ทำหน้าท ี่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย เป็นลักษณะของการขับลำนำ
2. วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง 3 คน คือ ค นขับลำนำ 1 คน คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 1 คน และ คนไกว บัณเฑาะว์ ให้จังหวะ 1 คน
3. วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เค รื่อง 5 มี 2 ชนิด คือ
วงปี่พาทย์เครื่องห้า อย่างเบา ประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็ก ๆ จำนวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ 2. กลองชาตรี 3. ทับ (โทน) 4. ฆ้องคู่ และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
วงปี่พาทย์เครื่อ งห้า อย่างหนัก ประกอบด้วย เครื่องดนตรีจำนวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ใน 2. ฆ้องวง (ใหญ่) 3. ตะโพน 4. กลองทัด และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบ การแสดงมหรสพ ต่าง ๆ จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก
4. วง มโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่ง ที่นำเอา วงบรรเลงพิณ กับ วงขับไม้ มาผสมกัน เป็นลักษณะของ วง มโหรีเครื่องสี่ เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง 4 คน คือ 1. คนขับลำนำและตี กรับพวง ให้จังหวะ 2. คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 3. คนดีดพิณ และ 4. คนตีทับ (โทน) ควบคุมจังหวะ

สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยนี้ ในกฏ มลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อ เครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้น จากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัย จึงน่าจะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า "...ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน..." ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็นที่นิยม กันมาก แม้ในเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่นดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี จนกระทั่งพระมหาก ษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทย ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ คือ1. วงปี่พาทย์ ในสมัยนี้ ก็ยังคงเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเ ดียวกับในสมัยสุโขทัย แต่มี ระนาดเอก เพิ่มขึ้น ดังนั้น วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ประกอบด้วย เครื่องด นตรี ดังต่อไปนี้ คือ
1. ระนาดเอก
2. ปี่ใน
3. ฆ้องวง (ใหญ่)
4. กลองทัด ตะโพน
5. ฉิ่ง
2. วงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก เพราะไ ด้เพิ่ม เครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รำมะนา ทำให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ ประกอบด้วย เครื่องดนตรี จำนวน 6 ชิ้น คือ
1. ซอสามสาย
2. กระจับปี่ (แทนพิณ)
3. ทับ (โทน)
4. รำมะนา
5. ข ลุ่ย
6. กรับพวง

สมัยกรุงธนบุรี
เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วง ระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 15 ปี และประกอบกับ เป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกันประเทศเสียโ ดยมาก วงดนตรีไทย ในสมัยนี้จึงไม่ปรากฎหลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคง เป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยนี้ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และได้มีการก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความสงบร่มเย็น โดยทั่วไปแล้ว ศิลป วัฒนธรรม ของชาติ ก็ได้รับการฟื้นฟูทะนุบำรุง และส่งเสริมให้เจริญ รุ่งเรืองขึ้น โดยเฉพาะ ทางด้าน ดนตรีไทย ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลำดับ ดัง ต่อไปนี้
 
รัชกาลที่ 1
ดนตรีไทย ในสมัยนี้ส่วนใหญ่ ยังคงมีลักษณะ และ รูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือ การเพิ่ม กลองทัด ขึ้นอีก 1 ลูก ใน วงปี่พาทย์ ซึ่ง แต่เดิมมา มีแค่ 1 ลูก พอมาถึง สมัยรัชกาลที่ 1 วงปี่พาทย์ มี กลองทัด 2 ลูก เสียงสูง (ตัวผู้) ลูกหนึ่ง และ เสียงต่ำ (ตัวเมีย) ลูกหนึ่ง และการใช้ กลองทัด 2 ลูก ในวงปี่พาทย์ ก็เป็นที่นิยมกันมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้
 
รัชกาลที่ 2 
อาจกล่าวว่าในสมัยนี้ เป็นยุคทองของ ดนตรีไทย ยุ คหนึ่ง ทั้งนี้เพราะ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ใน ทาง ดนตรีไทย ถึงขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย ได้ มีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า "ซอสายฟ้าฟาด" ทั้งพ ระองค์ได้ พระราชนิพนต์ เพลงไทย ขึ้นเพลงหนึ่ง เป็นเพลงที่ไพเราะ และอมตะ มาจนบัดนี้นั่นก็คือเพลง "บุหลันลอยเลื่อน" การพัฒนา เปลี่ยนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ก็คือ ได้มีการนำเอา วงปี่พาท ย์มาบรรเลง ประกอบการขับเสภา เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังมีกลองชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดยดัดแปลงจาก "เปิงมาง " ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนี้ว่า "สองหน้า" ใช้ตีกำกับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่พาทย์ ประกอบก ารขับเสภา เนื่องจากเห็นว่าตะโพนดังเกินไป จนกระทั่งกลบเสียงขับ กลองสองหน้านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ตีกำกับจัง หวะหน้าทับ ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
 
รัชกาลที่ 3
วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่ พาทย์เครื่อง คู่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้ม มาคู่กับระนาดเอก และประดิษฐ์ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่
 
รัชกาลที่ 4
วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่ พาทย์เครื่อง ใหญ่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ เครื่องดนตรี เพิ่มขึ้นอีก 2 ชนิด เลียนแบบ ระนาดเอก และระนาดทุ้ม โดยใช้โลหะทำลู กระนาด และทำรางระนาดให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุ้ม (ไม้) เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก และระนาดท ุ้มเหล็ก นำมาบรรเลงเพิ่มในวงปี่พาทย์เครื่องคู่ ทำให้ ขนาดของ วงปี่พาทย์ขยายใหญ่ขึ้นจึงเรียกว่า ว งปี่พาทย์เครื่องใหญ่ อนึ่งในสมัยนี้ วงการดนตรีไทย นิยมการร้องเพลงส่งให้ดนตรีรับ หรือที่เรียกว่า " การร้องส่ง" กันมากจนกระทั่ง การขับเสภาซึ่งเคยนิยมกันมาก่อนค่อย ๆ หายไป และการร้องส่งก็เป็นแนวทาง ให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2 ชั้นของเดิมให้เป็นเพลง 3 ชั้น และตัดลง เป็นชั้นเดียว จนกระทั่งกลายเป็นเพลงเ ถาในที่สุด (นับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้) นอกจากนี้ วงเครื่องสาย ก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน
 
รัชกาลที่ 5
ได้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้น ใหม่ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า "วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์" โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สำหรับใช้บรรเลงประกอบการแสดง "ละครดึกดำบรรพ์" ซึ่งเป็น ละครที่เพิ่งปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชก าลนี้เช่นกัน หลักการปรับปรุงของท่านก็โดยการตัดเครื่องดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลม หรือดังเกินไปออก คงไว้แต่เครื ่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวล กับเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่ เครื่องดนตรี ในวงปี่พาทย์ดึกด ำบรรพ์ จึงประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ขลุ่ย ซออู้ ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเครื่องกำกับจังหวะ
 
รัชกาลที่ 6
ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมา อีกชนิดหนึ่ง โ ดยนำวงดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียกวงดนตรีผสมนี้ว่า "วงปี่พาทย์มอญ" โดยหลว งประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นผู้ปรับปรุงขึ้น วงปี่พาทย์มอญดังกล่าวนี้ ก็มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเคร ื่องห้า เครื่องคู่ และเครื่องใหญ่ เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทย และกลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมในง านศพ มาจนกระทั่งบัดนี้ นอกจากนี้ยังได้มีการนำเครื่องดนตรีของต่างชาติ เข้ามาบรรเลงผสมกับ วงดนตรีไทย บางชนิ ดก็นำมาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทย ทำให้รูปแบบของ วงดนตรีไทย เปลี่ยนแปลงพัฒนา ดังนี้ คือ
1. การนำเครื่องดนตรีของชวา หรืออินโด นีเซีย คือ "อังกะลุง" มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทั้งนี้โดยนำมาดัดแปลง ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ 7 เสียง (เดิมมี 5 เสียง) ปรับปรุง วิธีการเล่น โดยถือเขย่าคนละ 2 เสียง ทำให้เครื่องดนตรีชนิดนี้ กลายเป็นเครื่องดนตรีไทยอีกอย่างหนึ่ง เพราะค นไทยสามารถทำอังกะลุงได้เอง อีกทั้งวิธีการบรรเลงก็เป็นแบบเฉพาะของเรา แตกต่างไปจากของชวาโดยสิ้นเชิง
2. การนำเครื่องดนตรีของต่างชาติเข ้ามาบรรเลงผสมในวงเครื่องสาย ได้แก่ ขิมของจีน และออร์แกนของฝรั่ง ทำให้วงเครื่องสายพัฒนารูปแบบขอ งวงไปอีกลักษณะหนึ่ง คือ "วงเครื่องสายผสม"

รัชกาลที่ 7
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ ้าอยู่หัว ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทย มากเช่นกัน พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลงเขมรลอยองค์ (เถา) และเพลงราตรีประดับดาว (เถา) พระองค์และพ ระราชินีได้โปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวายการสอนดนตรีในวัง แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ระยะเวลาแห่งการครอง ราชย์ของพระองค์ไม่นาน เนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์ หลังจากนั้นได้ 2 ปี มิฉะนั้นแล้ว ดนตรีไทย ก็คงจะเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยแห่งพระองค์ อย่างไรก็ตามดนตรีไทยในสมัยรัชกาลนี้ นับว่าได้พัฒนารูปแบบ และลักษณะ มาจนกระทั่ง สมบูรณ์ เป็นแบบแผนดังเช่น ในปัจจุบันนี้แล้ว ในสมัยสมบูรณาญาสิ ทธิราชมีผู้นิยมดนตรีไทยกันมาก และมีผู้มีฝีมือ ทางดนตรี ตลอดจน มีความคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้พัฒนา ก้าวหน้ามาตามลำดับ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ ได้ให้ความอุปถัมภ์ และทำนุบำรุงดนตรีไ ทย ในวังต่าง ๆ มักจะมีวงดนตรีประจำวัง เช่น วงวังบูรพา วงวังบางขุนพรหม วงวังบางคอแหลม และวงวั งปลายเนิน เป็นต้น แต่ละวงต่างก็ขวนขวายหาครูดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือเข้ามาประจำวง มีการฝึกซ้อมกันอยู่เนืองนิจ บางครั้งก็มีการประกวดประชันกัน จึงทำให้ดนตรีไทยเจริญเฟื่องฟูมาก ต่อมาภายหลังก ารเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ดนตรีไทยเริ่มซบเซาลง อาจกล่าวได้ว่า เป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ ดนตรีไทย เกือบจะถึงจุดจบ เนื่องจากรัฐบาลในสมัยหนึ่งมีนโยบายทีเรียกว่า "รัฐนิยม" ซึ่งนโยบายนี้ มีผลกระทบต่อ ดนตรีไทย ด้วย กล่าวคือมีการห้ามบรรเลง ดนตรีไทย เพ ราะเห็นว่า ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ใครจะจัดให้มีการบรรเลง ดนตรีไทย ต้องขออนุญาต จากทางราชการก่อน อีกทั้ง นักดนตรีไทยก็จะต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการออกให้ จนกระทั่งต่อมาอีกหลายปี เมื่อได้มี การสั่งยกเลิก "รัฐนิยม" ดังกล่าวเสีย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ดนตรีไทยก็ไม่รุ่งเรืองเท่าแต่ก่อน ยังล้มลุกคลุกคลาน มาจนกระทั่งบัดนี้ เนื่องจากวิถีชีวิต และสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม วัฒนธ รรมทางดนตรีของต่างชาติ ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยเป็นอันมาก ดนตรีที่เราได้ยินได้ฟัง และได ้เห็นกันทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือที่บรรเลงตามงานต่าง ๆ โดยมากก็เป็นดนตรีของต่างชาติ หาใช่ "เสียงพาทย์ เสียงพิณ" ดังแต่ก่อนไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่น่ายินดีที่เราได้มีโอกาสฟังดนตรีนานาชาตินานาชนิด แต่ถ้า ดนตรีไทย ถูกทอดทิ้ง และไม่มีใครรู้จักคุณค่า ก็นับว่าเสียดายที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่ดีงาม ซึ่งเป็นเอกลั กษณ์ของชาติอย่างหนึ่งไป ดังนั้น จึงควรที่คนไทยทุกคนจะได้ตระหนัก ถึงคุณค่าของ ดนตรีไทย และช่วยกันทะนุบำรุงส่งเสริม และรักษาไว้ เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ส่วนประกอบของกีต้าร์ไฟฟ้า

ส่วนประกอบของกีตาร์ไฟฟ้า

     ก่อนอื่นเลยนะคับ ก็ผมเองชอบเล่นกีตาร์ไฟฟ้า เล่นเป็นวงมาได้4ปีแล้ว พอมีประสบการณ์บ้าง แต่ก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย เวลามีเพื่อนที่สนใจหรือเพิ่งเริ่มเล่นเนี่ย มันก็มักมาถามเกี่ยวกับกีตาร์ มากมายสารพัดเรื่องที่มันถาม ผมมาคิดไปคิดมา ก็ถือโอกาสที่อยากจะให้ความรู้เล็กๆน้อยๆแก่พ่อแม่พี่น้อง หรือผู้ที่สนใจครับ เริ่มแรกเลย ผมคิดว่าเราน่าจะรู้จักกับส่วนประกอบของกีตาร์ก่อนดีกว่า ซึ่งหัวข้อนี้น่าจะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ไม่เคยจับต้องไอกีตาร์ไฟฟ้า มาก่อน หรือผู้ที่กำลังจะเริ่มเล่นคับ


เริ่มแรกเลยก็มาที่ส่วนหัวก่อนนะครับ ก็จะประกอบด้วยประกอบด้วย


1.1 ชุดลูกบิด โดยทั่วไปที่เราพบเห็นจะมี 2 แบบ ได้แก่ แบบที่ตัวลูกบิดหันไปด้านหลัง ตั้งฉากกับตัวกีตาร์ แกนหมุนสายเป็นพลาสติก ซึ่งจะใช้กับกีตาร์คลาสสิก หรือกีตาร์ฝึก (แต่จะเป็นแบบที่แกนหมุนสายเป็นเหล็กใช้กับกีตาร์ราคาไม่สูงนัก) และอีกแบบจะขนานกับตัวกีตาร์ หรือแกนหมุนสายตั้งฉากกับตัวกีตาร์ ซึ่งใช้กับกีตาร์โฟล์คหรือกีตาร์ไฟฟ้าทั่วๆไป แต่ละบริษัทที่ผลิตลูกบิดกีตาร์นั้นจะมีระบบเป็นของตัวเอง เช่น ระบบล็อคกันสายคลายเวลาดีด เป็นต้น

1.2 นัท (nut) บางคนเรียก หย่อง หรือ สะพานสายบนก็ได้ (เรียกว่านัทดีกว่า) มันจะติดอยู่ปลายบนสุดของฟิงเกอร์บอร์ดเพื่อรองรับสายกีตาร์ให้ยกสูงจากฟิง เกอร์บอร์ด ซึ่งระยะความสูงของสายกับฟิงเกอร์บอร์ดนี้ เรียกว่า “action” มีความสำคัญกับความถนัดของการเล่นของเรามากนะ เพราะถ้ามันตั้งความสูงไว้ไม่เหมาะสมแล้วจะทำให้การเล่นกีตาร์ลำบากมาก คือ ถ้าระยะดังกล่าวสูงไปคุณต้องออกแรงกดสายมากขึ้น ก็จะเจ็บนิ้วมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการตั้งactionที่สูงนี่ไม่ดีนะครับ เสียงที่ให้จะใสกว่าการตั้งactionที่ต่ำครับ ก็แล้วแต่สไตล์ของเสียงที่เราชอบด้วย ส่วนมากจะเป็นแนว Jazz สำหรับการตั้งactionที่ต่ำไป เวลาดีด ความสั่นของสายจะไปโดนเฟร็ตทำให้เกิดเสียงแปลกๆออกมา การตั้งactionให้ต่ำๆก็จะเหมาะกับการเล่นแนวrock หรือพวกที่ชอบsoloแบบปั่นกระจายอะไรประมาณนั้นอะครับ

    การ ปรับแต่งนั้นคุณสามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเองโดยการถอดมันออกมา และใช้ตะไบถูกับฐานของมัน หรือเซาะร่องทั้ง 6 ให้ลึกลงไปในกรณีที่สูงเกินไป ตรงกันข้าม ถ้าต่ำไป ก็หาเศษกระดาษหนา ๆ หรือเศษไม้มารองได้นัทจนได้ความสูงที่คุณพอใจ โดยปกติประมาณ 2 มม. สำหรับกีตาร์ไฟฟ้าบางรุ่น (โดยเฉพาะที่มีชุดคันโยก) มักจะมีนัทแบบที่ล็อคสายกีตาร์ได้ คือ จะมี 6 เหลี่ยมขันอัดให้โลหะชิ้นเล็ก ๆ ไปกดสายกีตาร์เพื่อกันสายคลายเมื่อเล่นคันโยก



ส่วนที่2ครับ ส่วนคอกีตาร์ ประกอบด้วย

2.1 ตัวคอกีตาร์ นี่ แหละครับ คือส่วนที่เราใช้จับคอร์ดเล่นโน๊ตต่างๆ มีความสำคัญมากสำหรับกีตาร์ก่อนซื้อ เพราะคุณจะต้องดูให้ดี ในการเลือกซื้อกีตาร์ครับ (ควรจะทำมาจากไม้มะฮอกกานี หรือ ไม้ซีดา) หลัการที่สำคํญที่สุด คือ คอกีตาร์ต้องตรง ไม่มีรอยแตกหรือปริของเนื้อไม้



2.2 Fingerboard เป็น แผ่นไม้ที่ติดลงบนคอกีตาร์อีกชั้น เป็นตัวที่ใช้ยึดเฟร็ต หรือลวดลายมุกประดับต่าง ๆ และเราก็จะเล่นโน๊ตต่าง ๆ ของกีตาร์บนหน้าฟิงเกอร์บอร์ดนั่นเอง ไม้ที่นิยมใช้จะเป็นไม้โรสวูด หรือไม้อีโบนี ซึ่งมีเนื้อไม่แข็งเกินไป มีแบบที่แบนเรียบของกีตาร์คลาสสิก และกีตาร์โฟล์กับกีตาร์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะโค้งเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับนิ้วเวลา ทาบบนคอ

2.3 เฟร็ต (fret) ทำมาจากโลหะฝังอยู่บนคอกีตาร์ เป็นตัวที่จะกำหนดเสียงของโน็ตดนตรีจากการกดสายกีตาร์ลงบนเฟร็ตต่าง ๆ ซึ่งทำให้สายมีความสั้นยาวต่างกันไปตามการกดสายของเราว่ากดที่ช่องใดระยะสาย ที่เปลี่ยนไป คือระดับเสียงที่เปลี่ยนไปด้วย สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง คือระยะระหว่างเฟร็ตแต่ละตัว ต้องได้มาตรฐาน มิฉะนั้นจะทำให้เสียงเพี้ยนได้แต่เราไม่สามารถเช็คระยะดังกล่าวได้เราอาจ เช็คคร่าว ๆ จากฮาโมนิค จำนวนของเฟร็ตก็จะขึ้นกับความยาวของคอกีตาร์ ซึ่งแต่ละผู้ผลิตก็จะต่างกันไป ปกติกีตาร์คลาสสิกจะมีประมาณ 18 ตัว กีตาร์โฟล์คประมาณ 20 ตัว แต่กีตาร์ไฟฟ้าซึ่งมักจะมีการเล่นโซโลจึงมีช่องให้เล่นโน๊ตมากขึ้นประมาณ 22-24 ตัว และกีตาร์คลาสสิกซึ่งคอกีตาร์แบนราบ เฟร็ตก็จะตรง แต่กีตาร์โฟล์คหรือกีตาร์ไฟฟ้านั้นส่วนใหญ่จะมีคอที่โค้งเล็กน้อยก็จะมี เฟร็ตที่โค้งตามไปด้วย

2.4 มุกประดับ จุดประสงค์คือให้ใช้ สังเกตตำแหน่งช่องกีตาร์ปกติจะฝังที่ช่อง (1), 3, 5, 7, 9, (10) , 12, 14, 17, 19, 21 (ไม่แน่นอนตายตัวขึ้นกับผู้ผลิต) กีตาร์คลาสสิกจะไม่มีมุกประดับฝังบนหน้าฟิงเกอร์บอร์ดแต่จะฝังด้านข้างแทน แต่กีตาร์โฟล์คและกีตาร์ไฟฟ้าจะฝังไว้ทั้ง 2 ส่วน (บางรุ่นก็มีแต่ด้านข้าง) ทั้งนี้ขึ้นกับแต่ละผู้ผลิตจะออกแบบ โดยทั่วไปจะเป็นรูปวงกลม บางทีก็รูปข้าวหลามตัด หรือที่แพงหน่อยก็จะเป็นลายพวกไม้เลื้อย เลื้อไปตามหน้าฟิงเกอร์บอร์ด

2.5 ก้านเหล็กปรับแต่งคอ (Truss Rod) ในกีตาร์ที่อยู่ในระดับกลางขึ้นไปจะมีแท่งเหล็กฝังอยู่ตามความยาวคอกีตาร์ ด้วยเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับกีตาร์ป้องกันการโก่งตัวของคอกีตาร์ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้เมื่อคอกีตาร์เกิดโก่งงอไปแต่การปรับแต่งนั้นถ้าไม่ แน่ใจอย่าเสี่ยง เพราะถ้าคุณฝืนมันมากไปอาจทำให้คอกีตาร์เสียหายก็ได้ ให้ผู้ที่เขาชำนาญทำดีกว่าครับ



มาที่ส่วนลำตัวกีตาร์ ประกอบด้วย

3.1 ลำตัวกีตาร์ (Body) หมายถึง 3 ส่วนได้แก่ ด้านหน้า (top) ควรทำมาจากไม้ เมเปิล (Maple) ด้านหลัง (back) และด้านข้าง (side) ควรเป็นไม้โรสวูด (Rosewood) และที่สำคัญคือลักษณะของไม้ต้องไม่มีรอยแตก ไม่มีตาไม้ และมีลายไม้ที่ละเอียดไปตามความยาว จึงมีคุณภาพดี เสียงของกีต้าร์ จะหนา อุ่น บาง แหลม โดยส่วนใหญ่มาจากลำตัวแทบทั้งสิ้น โดยผลที่ทำให้เสียงแตกต่างกัน คือ ไม้ รูปร่าง และวิธีการซึ่งวิธีการในที่นี้หมายถึง วิธีการประกอบลำตัว ไม่ว่าจะเป็น 1 2 หรือ 3 ชิ้น ใช้ไม้ปะหน้าแบบไหน หรือ ใช้ไม้อะไรผสมกับอะไร ซึ่งในเรื่องนี้ จะมีรายละเอียดมากทีเดียว

3.2 สะพานสาย (Bridge) และ หย่อง (Saddle) Bridge นั้น หมายถึง ชุดของสะพาน ที่ประกอบขึ้นมาเป็นชิ้นทั้งหมด ซึ่งแยกกันเป็น 2 ประเถทใหญ่ ๆ คือ แบบโยกไม่ได้ (Fixed) และแบบคันโยก (Tremolo) ส่วน Saddle หมายถึง วัสดุตัวเล็ก ๆ ที่รองสาย และแยกเป็นชิ้น ๆ จะเป็น ชิ้นโลหะเล็ก ๆ

3.3 ปิคอัฟ (Pick up) สำหรับกีตาร์ไฟฟ้าจะมีความสำคัญมากเพราะมันจะรับแรงสั่นสะเทือนของสายไปแปลง เป็นกระแสไฟฟ้าส่งไปยังแอมป์แล้วขยายเสียงต่อไปทำให้ัสามารถปรับแต่งเสียง ได้มากมายหลายรูปแบบแล้วแต่คุณต้องการ Pick up ปัจจุบัน แยกกันตามลักษณะทางกายภาพได้เป็น 2 แบบ คือ Single Coil หรือแบบ คอยล์เดี่ยว และแบบ HumBucker หรือแบบคอยล์คู่ ซึ่ง รายละเอียดนั้น คงต้องแยกไปอีกตอน เพราะเรื่อง Pick up นั้น ยาวมาก และมีหลายแบบ หลายลักษณะมาก




3.4 ชุดคันโยก (tremolo bar) ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกีตาร์ไฟฟ้าเลยทีเดียว ซึ่งแบบเก่า จะเป็นแบบกดลงได้อย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันวงการกีตาร์ไฟฟ้าก็ได้พัฒนาไปอีกระดับกับคันโยกที่เราเรียกกัน ตามชื่อผู้ผลิต คือ ฟลอยโรส (Floyd Rose) หรือคันโยกอิสระนั่นเอง ซึ่งสามารถโยกขึ้นลงได้อย่างอิสระช่วยให้นักกีตาร์สามารถสร้างสรรค์สำเนียง ดนตรีในแบบใหม่ ๆ ได้ไม่สิ้นสุด



3.5 สวิทช์เปลี่ยนปิคอัฟ (Selector Switch) มักมีในกีตาร์ไฟฟ้าที่มีปิคอัฟหลาย ๆ ตัว เช่น 2 หรือ 3 ตัว ใช้ในการเปลี่ยนไปใช้ปิคอัฟตัวต่าง ๆ ซึ่งเสียงก็จะต่างกันไปด้วยเช่นต้องการเล่น rhythm อาจใช้ตัวกลาง หรือตัวบน เมื่อจะ solo ก็เปลี่ยนมาใช้ตัวล่าง ที่ติดกับบริดจ์ เพราะให้เสียงที่แหลมกว่า เป็นต้น

3.6 ปุ่มควบคุ่มเสียง โดยทั่วไปจะมี 2 ชุด คือ ชุดควบคุมความดังเบา (volume control) และชุดควบคุมเสียงทุ้มเสียงแหลม (tone control)


วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกลองชุด



ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกลองชุด

      ส่วนประกอบของกลองชุด : กลองชุดประกอบด้วยกลองลักษณะต่างๆ หลายใบและฉาบหลายอันมารวมกันโดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียว กลองชุดนี้ตามประวัติของดนตรีไม่ปรากฏว่าได้เข้าร่วมบรรเลงกับวงดนตรีดุริยางค์สากล ซึ่งเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ แต่ใช้บรรเลงร่วมกับวงดนตรีแจ๊ส  และวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีน้อยชิ้นบรรเลงได้แก่วง คอมโบ้ วงสตริงคอมโบ้ ฯลฯ กลองที่ใช้ร่วมบรรเลงกับกลองชุดมีดังนี้
1. กลองใหญ่ (Bass Drum) 
      กลองใหญ่ มีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับกลองใหญ่ที่ใช้บรรเลงในวงดุริยางค์สากลแต่ขนาดแตกต่างกันคือ ขนาดกลองใหญ่ของกลองชุดมีขนาดที่นิยมใช้ทั่วไป คือ ขนาด 14 x 20 นิ้ว หรือ 14 x 22 นิ้ว มีอุปกรณ์เหมือนกันกับกลองใหญ่วงดุริยางค์ทุกประการ เวลาบรรเลงไม่ต้องใช้ขอหยั่งรองรับ เพราะมีขาหยั่งติดมากับตัวกลอง เพียงแต่ดึงขอหยั่งออกทั้งสองข้างจะทำให้กลองไม่เคลื่อนที่ เป็นการยึดตัวกลองใหญ่ให้ติดอยู่กับพื้นกลองใหญ่ไม่ใช้ไม้ถือสำหรับตี ใช้กระเดื่อง (Pedal) ติดแท่งเหล็กกลมๆ ปลายหุ้มด้วยสักหลาดความยาวประมาณ 10 นิ้ว สำหรับเท้าข้างขวาเหยียบลงไปบนกระเดื่อง ปลายกระเดื่องส่วนบนจะทำหน้าที่แทนมือ


2. กลองเล็ก (Snare Drum) 
      กลองเล็ก เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกลองชุดรูปร่างลักษณะกลองเล็กที่ใช้บรรเลงร่วมกับกลองชุด มีลักษณะเหมือนกลองเล็กที่ใช้บรรเลงวงดุริยางค์วงใหญ่ทุกประการ หรือเป็นกลองเล็กอย่างเดียวกัน สามารถนำไปใช้บรรเลงร่วมกับวงดนตรีโดยทั่วไปได้กลองเล็กเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดในจำพวกเครื่องเคาะตีทั้งหลายเพราะการบรรเลงตามบทเพลงของกลองเล็กจะทำหน้าที่บรรเลงจังหวะที่ขัดกับกลองใหญ่ โดยกลองใหญ่จะบรรเลงตามจังหวะหนัก และเบา กลองเล็กจะบรรเลงจังหวะขืนหรือจังหวะขัด มีลักษณะเหมือนกับหยอกล้อกัน และเป็นการกระตุ้นให้ผู้ฟังตื่นตัว มีอารมณ์ร่วมกับผู้บรรเลง เกือบจะทุกบทเพลงที่เปิดโอกาสให้กลองเล็กแสดงความสนุก คึกคัก และเป็นการเรียกร้องให้เครื่องดนตรีอื่นๆร่วมสนุกสนานด้วยนั่นคือ การบรรเลงกลองเล็กตอนปลายประโยคของบทเพลง ที่ภาษานักตีกลองเรียกว่า “ห้องส่ง” หรือ “บทส่ง” (Fill) ขนาดกลองเล็กที่นิยมใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 x 14 นิ้ว

3. ฉาบ (Cymbals) 
      ฉาบ เป็นส่วนประกอบอีกชิ้นหนึ่งของกลองชุด รูปร่างลักษณะเหมือนกับฉาบที่ใช้บรรเลงในวงดุริยางค์ โดยทั่วไปนิยมใช้ฉาบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20-30 นิ้ว ตั้งไว้ด้านข้างขวามือ และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16-18 นิ้ว ตั้งไว้ด้านข้างซ้ายมือ ฉาบทั้งสองใบนี้ไม่มีเชือกหนังสำหรับมือถือ แต่จะมีขาหยั่งรองรับทั้งสองใบ เวลาบรรเลงใช้มือขวาตีฉาบด้านขวามือเป็นหลัก เพราะมีเสียงก้องกังวานกว่า บางครั้งอาจสลับเปลี่ยนมาตีด้านซ้ายมือบ้างเป็นบางครั้ง

4. ไฮแฮท (Hi Hat) 
      ไฮแฮท คือ ฉาบสองใบเหมือนกับฉาบในวงดุริยางค์ แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยทั่วไปนิยมใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 14-15 นิ้ว ฉาบทั้งสองใบนี้ไม่ใช้เชือกหนังร้อยสำหรับถือ เพราะมีขาตั้งรองรับ ใบที่หนึ่งใส่ลงบนขาตั้งโดยให้ด้านนูนอยู่ด้านล่าง จะมีแผ่นโลหะและสักหลาดรองรับ อีกใบหนึ่งใส่ลงบนขอตั้งโดยให้ด้านนูนอยู่ด้านบน มีที่ไขติดอยู่กับแกนของขาตั้ง โดยกะระยะให้ห่างกันพอประมาณ เพื่อไม่ให้ฉาบทั้งสองใบชิดติดกัน ช่วงล่างสุดมีกระเดื่องเหมือนกับกลองใหญ่สำหรับเหยียบให้ฉาบทั้งคู่กระทบกัน ไฮแฮทมีหน้าที่คอยขัดจังหวะหรือช่วยหนุนกลองเล็ก เน้นจังหวะขัดให้กระชับยิ่งขึ้น

5. ทอม ทอม (Tom Tom)
      ทอม ทอม คือ กลองขนาดเล็กสองใบมีรูปร่างเหมือนกลองเล็ก แต่มีขนาดสูงกว่า ไม่ติดเส้นลวด ทอม ทอม ทั้งสองใบมีขนาดแตกต่างกัน ใบหนึ่งจะติดตั้งทางด้านซ้ายมือ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอีกใบหนึ่ง ซึ่งติดตั้งด้านขวามือ โดยทั่วไปนิยมใช้ทอม ทอม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 x 13 นิ้วและขนาด 14 x 14 นิ้ว ทั้งสองใบจะมีรูด้านข้างสำหรับใส่แกนโลหะเพื่อติดตั้งบนกลองใหญ่ ระดับเสียงทอม ทอม ด้านซ้ายมือมีระดับเสียงสูงกว่าด้านขวามือ ทอม ทอม มีหน้าที่สร้างความสนุกคึกคัก โดยจะบรรเลงในบทส่ง หรือการเดี่ยวกลอง (Solo) เพื่อสร้างความรู้สึก การกระตุ้นให้เพลิดเพลินกับจังหวะ บทเพลงที่ใช้ ทอม ทอม บรรเลงมากที่สุด คือ เพลงประเภทลาติน

6. ฟลอร์ทอม (Floor Tom) 
      ฟลอร์ทอม มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า “ทอมใหญ่” (Large Tom) รูปร่างลักษณะเหมือนกับ ทอม ทอม ไม่ติดเส้นลวด ขนาดของฟลอร์ทอม สูงกว่าทอม ทอม มีขาติดตั้งกับตัวฟลอร์ทอม เวลาบรรเลงตั้งอยู่ด้านขวามือชิดกับกลองใหญ่ เสียงฟลอร์ทอมต่ำกว่าเสียงทอม ทอม แต่เสียงสูงกว่าเสียงกลองใหญ่ ฟลอร์ทอม ทำหน้าที่อย่างเดียวกับ ทอม ทอม โดยทั่วไปนิยมใช้ ฟลอร์ทอม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 x 16 นิ้ว

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

Music Man JPX6




Music Man จอห์น Petrucci ลายเซ็น JPX-6 กีตาร์ไฟฟ้า Barolo 

คุณสมบัติ

  • ไม้รูปร่าง: Alder กับด้านบนเมเปิ้ลและบล็อกเสียงมะฮอกกานี
  • เสร็จร่างกาย: โพลีเอสเตอร์เงาสูง
  • สีรูปร่าง: Barolo
  • Bridge: จอห์น Petrucci กำหนดเองเพลงชาย Piezo ลูกคอลอยที่ทำจากโครเมี่ยมเหล็กชุบแข็งด้วยอานม้าเหล็กแข็ง สีดำ
  • ไม้คอ: ไม้มะฮอกกานีเลือก
  • fingerboard: Eb​​ony กังวลเหล็ก, สแตนเลส
  • หงุดหงิดเครื่องหมาย: Custom JP inlays
  • เสร็จคอ: โพลีเอสเตอร์เงาสูง
  • สีคอ: ร่างกายตรงกับสี
  • เครื่องปรับ: Schaller ล็อค M6-IND ในสีดำกับปุ่มสีดำ
  • มัดลวด: ปรับ - องค์ประกอบหรือกำจัดสตริง
  • สิ่งที่แนบมาคอ: 5 bolts - แนวร่วมที่สมบูรณ์แบบด้วยขยับไม่มีทุนคอแกะสลักช่วยให้เข้าถึงเรียบวิตกกังวลที่สูงขึ้น
  • อิเล็กทรอนิกส์ป้องกัน: อะคริลิกราไฟท์เรซิ่นเคลือบหลุมศพและฝาครอบตัวควบคุมอลูมิเนียม
  • การควบคุม: ปริมาณ (500kohm) แล​​ะโทน (.022 ตัวเก็บประจุเสียงμf) ปริมาณ (รถกระบะ Piezo)
  • สลับ: คันรถกระบะ 5-way เลือก; 3-way Piezo สลับ / เลือกแม่เหล็ก
  • pickups: DiMarzio liquifire humbucker - คอ DiMarzio กระทืบห้องปฏิบัติการ humbucker - สะพาน; รถกระบะไพอีโซสร้างเป็นสะพานลูกคอ
  • เงื่อนไข: 10P-13P-17P-26w-36w-46w (RPS 10 Slinkys # 2240)

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

ตู้แอมป์กีต้าร์ MARSHALL MG-100 HDFX



รายละเอียด:
MARSHALL
รุ่น: 
  MG-100 HDFX
รายละเอียด: 
  MARSHALL MG-1OO HDFX Boasting the same impressive features and staggering versatility of the MG100DFX combo, this awesome, 100 Watt head will drive any cabinet from the Marshall range, but is best suited to the MG412A (angled) and MG412B (straight) 120W 4x12" cabinets. Unbelievable tone, feel and projection come as standard.
 - Twin footswitchable channels
- Clean & Overdrive
- 2 modes on each channel
- Clean/Crunch on Clean and OD1/OD2 on Overdrive
 - Independent tone controls for Bass, Middle & Treble on each channel
- Contour Control for dramatic mid sweep and 'scooping'
 - Emulated Line Out jack and Headphone jack
- CD input which allows you to play along to your favourite discs
- Built-in Digital Effects
 - Chorus/Delay, Chorus, Flange and Delay - Separate Digital Reverb with level control
- Parallel Effects Loop with mix control
- Master Volume - FDD (Frequency Dependent Damping)
 - Supplied 2-way footswitch (Clean/Overdrive, DFX on/

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

Effect BOSS - GT100


GT-100: แอมป์ผล Processor

เมกะ Multi-FX กับการสร้างแบบจำลองแอมป์ Next-Generation

การแปลง AD
24 บิต + AF วิธี (* 1)
แปลง DA
24 บิต
อัตราการสุ่มตัวอย่าง
44.1 เฮิร์ทซ์
ความทรงจำโปรแกรม
400: 200 (ผู้ใช้) + 200 (Preset)
ประเภทผล
COMP, OD / DS, PREAMP, EQ, FX1/FX2 (*), DELAY, CHORUS, reverb, PEDAL FX, NS1/NS2, ACCEL FX * ... FX1/FX2 T.WAH, AUTO WAH, SUB WAH, ADV COMP, LIMITER, SUB OD / DS, GRAPHIC EQ, PARA EQ, TONE ปรับเปลี่ยนกีต้าร์ซิมเกียร์ SLOW, DEFRETTER, SYNTH WAVE, Sitar ซิม. OCTAVE, Shifter PITCH, HARMONIST ถือเสียง AC Processor, PHASER, FLANGER, ลูกคอ, MOD แหวน ROTARY, UNI-V, vibrato PAN, เครื่องตัด,. HUMANIZER, CHORUS 2X2, DELAY SUB

ระดับขาเข้าที่กำหนด
INPUT: -10 dBu
RETURN: -10 dBu
AUX IN: -20 dBu
ความต้านทานอินพุต
INPUT: 1 โอห์ม M
RETURN: 100 K โอห์ม
AUX IN: 47 โอห์ม K
ระดับขาออกที่กำหนด
ผลผลิต: -10 dBu / 4 dBu
SEND: -10 dBu
ความต้านทานเอาท์พุท
ผลผลิต: 2 โอห์ม K
ส่ง: 2 โอห์ม K
ช่วงไดนามิค
100 เดซิเบลหรือมากกว่า (IHF A)
แสดง
จอแอลซีดีกราฟิก (132 x 64 จุด, backlit LCD) x 2
การเชื่อมต่อ
แจ็คอินพุต (ประเภทโทรศัพท์ 1/4-inch)
AUX IN (ประเภทโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กสเตอริโอ)
L OUTPUT / MONO, R แจ็ค (ประเภทโทรศัพท์ 1/4-inch)
โทรศัพท์แจ็ค (ประเภทโทรศัพท์สเตอริโอ 1/4-inch)
EXT LOOP แจ็ค (ส่ง, RETURN; ประเภทโทรศัพท์ 1/4-inch)
AMP ควบคุมแจ็ค (ประเภทโทรศัพท์ 1/4-inch)
SUB CTL1, 2/SUB EXP แจ็ค (1/4-inch ประเภทโทรศัพท์ TRS)
พอร์ต USB
MIDI เชื่อมต่อ (IN , OUT)
ช่องต่อ DC IN
พาวเวอร์ซัพพลาย
V DC 9
กระแส
600 mA
อุปกรณ์
AC Adaptor
USB Cap
คู่มือเจ้าของ
ตัวเลือก (ขายแยกต่างหาก)
FOOTSWITCH: BOSS FS-5U
แบบ Dual FOOTSWITCH: BOSS FS-6
เหยียบนิพจน์: BOSS FV-500L/500H โรลันด์ EV-5
ขนาดและน้ำหนัก
ความกว้าง (W)
542 มม.
นิ้ว 21-3/8
ความลึก (D)
271 มม.
นิ้ว 10-11/16
ความสูง (H)
80 มม.
นิ้ว 3-3/16
น้ำหนัก
4.8 กก.
£ 10 10 ออนซ์
ความสูงสูงสุด: 102 มม. , นิ้ว 4-1/16
* วิธีที่ 1 AF (วิธีโฟกัสปรับ) เป็นวิธีการที่เป็นกรรมสิทธิ์จาก Roland & เจ้านายที่อย่างมากมายปรับปรุงสัญญาณรบกวนอัตราส่วน (S / N) ของ A / D และ D / แปลง
* 0 dBu = 0.775 Vrms